พระที่ใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ควรปฏิบัติตนอย่างไร”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกใคร่ขออนุญาตสอบถามเรื่องที่เป็นข้อสงสัย เพื่อความกระจ่างและไม่คิดผิด หรือเกิดการคิดจาบจ้วงครูบาอาจารย์แบบไม่รู้ถูกรู้ผิด และเกิดเป็นบาปแก่ตัวเอง
ลูกมีความสงสัยว่า พระที่แท้จริงท่านสามารถจับปัจจัย หรือทำพระ หรือของขลังต่างๆ เพื่อออกจำหน่ายได้หรือไม่คะ เพราะบางทีลูกไปเจอพระที่มีคนนับถือกันมากมาย ท่านก็ดูใจดีและมีเมตตา แต่บางทีลูกก็รู้สึกสับสน ถ้าท่านทำเครื่องรางของขลังออกจำหน่ายหรือจับปัจจัยที่โยมมาถวาย ท่านจะใช่พระที่เราควรเคารพกราบไหว้อย่างสนิทใจได้หรือไม่คะ เพราะรู้สึกบางทีไม่สบายใจ
มันมีคำถามแบบนี้ในใจว่า เวลาลูกไปหาหลวงพ่อหรือพระป่า ท่านจะไม่เคยจับปัจจัยเลย และไม่เคยทำพระหรือเครื่องรางของขลังเพื่อจำหน่าย ถ้ามี ก็มีแต่แจกให้ฟรีเพื่อให้เราไว้คุ้มครองป้องกันตนเอง
แต่พระบางวัดที่มีคนว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มาก และก็มีคนได้สัมผัสสิ่งปาฏิหาริย์กับตัวเอง หรือเมื่อห้อยพระหรือเครื่องรางที่ได้ไป แล้วมาบอกเล่า แต่ท่านยังทำพระ หรือจำหน่าย หรือยังรับปัจจัยด้วยมือ
ลูกกลัวว่า ถ้าท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วเราคิดสิ่งที่ไม่ดี จะเป็นการจาบจ้วงท่านและส่งผลเสียเป็นบาปกรรมให้กับตัวเอง แต่บางครั้งพอเห็นแล้วมันคิดเอง ไม่มีสติพอห้ามความคิดได้ทัน ลูกจึงอยากกราบขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงเหมาะสม ถ้าต้องเจอสถานการณ์ในลักษณะนี้ กราบขอบพระคุณมาก
ตอบ : กราบขอบพระคุณๆ เรื่องเครื่องรางของขลังๆ ถ้ามันเป็นเครื่องรางของขลังนะ มันเป็นสมัยโบราณของเรารบทัพจับศึก พระสึกจากพระเป็นแม่ทัพเลย ไอ้นั่นเป็นการรบทัพจับศึก รบทัพจับศึกเพื่อป้องกันแผ่นดิน
เวลาหลวงตาของเราทำโครงการช่วยชาติฯ เพื่อถ่ายหนี้สินให้กับประเทศชาติ มีคนเสนอแนะมาก ทำไมไม่ทำเหรียญ หลวงตาตอนโครงการช่วยชาติฯ มีคนมาเสนอแนะนะว่า นี่เพื่อบรรเทา เพื่อช่วยเหลือเจือจาน บรรเทาให้ท่านได้สะดวกสบายขึ้น การหาเงินหาทองด้วยการพิมพ์ปั๊มเหรียญ การทำพระเครื่อง ทำไมไม่ทำ
ท่านบอก ไม่ทำ ไม่ทำหรอก
สิ่งที่ทำไม่ได้ๆ แต่เวลาโครงการช่วยชาติฯ ลูกศิษย์ลูกหาที่มีกำลังเขาก็ไปทำสติ๊กเกอร์เป็นรูปของท่านแจกกันๆ แจกกันเพื่อเป็นความเป็นมงคลไง สิ่งที่เป็นมงคล เคารพครูบาอาจารย์ ก็เอารูปนั้นมาแขวนคอไว้ นั่นด้วยความระลึกถึง เห็นท่านขวนขวาย ขวนขวายการกระทำอย่างนั้นไง
เครื่องรางของขลัง เครื่องรางของขลังสิ่งที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีไหม
มี มันมีไง เวลาเราสร้างวัดสร้างวาขึ้นมา เวลาสร้างวัดสร้างวาเขาให้เทวดาฟ้าดินมาคุ้มครองๆ นั่นเทวดาฟ้าดินเขาคุ้มครองของเขาด้วยคุณงามความดีของเขา
ฉะนั้น ไอ้เรื่องเครื่องรางของขลังนะ ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องพื้นๆ เป็นเรื่องของคนไม่มีที่พึ่งไง แต่เราเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เรามีพระในใจ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะอยู่ในใจ
แล้วภาษาเราเลย จะถ่วงคอให้มันหนักไปทำไมน่ะ
บางคน อู้ฮู! ถ่วงคอ ถ่วงคอนี่ล้นคอเลยนะ แล้วถ้าไม่มีพระไม่สบายใจ ออกจากบ้านไม่ได้ เวลาออกจากบ้านต้องเอาพระแขวนคอไปเลย
แล้วทำไมไม่มีพุทโธในหัวใจล่ะ
เวลาไปหาหลวงตานะ ท่านบอก มารถนี่มาเปล่าๆ เวลากลับไปให้มีพุทโธเต็มคันรถไปนะ
เราก็เหมือนกัน เรามีพุทธะ เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราพุทโธๆ ในใจของเราดีเลิศ นี่รุ่นแรก รุ่นของพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าให้รุ่นแรกเลยตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว
ไอ้ของเราเบญจภาคีองค์หนึ่ง ๔๐-๕๐ ล้าน
ของเราองค์หนึ่งศูนย์บาท ศูนย์บาทเลย พุทโธ พุทธะอยู่ในหัวใจของเราสะดวกสบาย นี่พูดถึงว่าในความเห็นหลวงพ่อไง
เมื่อก่อน ก่อนเราจะบวชเราเป็นวัยรุ่นอยู่ในประเทศไทย เราก็มีพระเหมือนกัน เราก็แขวนคอมาแล้ว ตอนที่ยังไม่ได้บวชเราก็มี โพธาราม หลวงพ่อเกลี้ยง วัดเฉลิมอาสน์ ท่านมีชื่อเสียงมาก เราก็มีเหรียญ เราก็ห้อยคอเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะเรายังเป็นปุถุชน เราเป็นคนหนาที่ไม่เข้าใจสิ่งใด เห็นโลกเขามีกันเราก็มีตามเขา แล้วเชื่อ เชื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์
แล้วเรามีเพื่อนนะ เวลาเพื่อนเวลาไปเที่ยวงานขึ้นมา เขาฟันด้วยดาบกลางหลัง เสื้อขาดหมดเลย ไม่เข้า มันเห็นๆ ที่เขาบอกว่าเครื่องรางของขลังเขาเห็นกับตา เราก็ได้เห็น เราก็ได้ลองมาทั้งนั้นน่ะ เราเห็นมาหมดนั่นแหละ แต่ตอนนั้นเพราะเรายังโง่อยู่ไง เดี๋ยวนี้ฉลาดแล้ว คอว่างๆ ไม่ให้มีอะไรถ่วงคอเลยล่ะ เดี๋ยวนี้ไม่มี มีแต่พระในหัวใจ ไม่มี
ถ้าเป็นคนดีแล้ว เรามีพุทโธขึ้นมาแล้ว อะไรมันจะมาทำร้ายเรา อะไรจะมาเป็นโทษเป็นภัยกับเรา มันจะเป็นโทษเป็นภัยมีอย่างเดียวเท่านั้นแหละ เราประมาทเลินเล่อ เราไปอยู่ในที่อันไม่สมควรที่จะอยู่ เขามีเทศกาล เขามีเรื่องมีราวกัน เราเข้าไปอยู่ในที่ตรงนั้นทำไม
เราเป็นผู้ที่ฉลาด เราไม่ไปอยู่ในเหตุการณ์สถานการณ์อย่างนั้นน่ะ เราไม่มีโทษไม่มีภัยทั้งสิ้น เราไม่มีความประมาทเลินเล่อ เรามีพระในหัวใจแล้วจบหมดเลย
ฉะนั้น ไอ้เรื่องเครื่องรางของขลังในเมืองไทย ทั่วโลกเลยล่ะ ถ้าจะทำสินค้าส่งออก ทำสมเด็จโตนี่นะ องค์ละ ๕๐ ล้าน ๕๐ ล้าน ขายไปทั่วโลกนะ โอ้โฮ! เมืองไทยนี้เป็นเศรษฐีโลก แล้วใครจะซื้อล่ะ มันไม่ใช่รุ่นสมัยนั้นน่ะ นี่พูดถึงในความเห็นเรา
ฉะนั้น เขาบอกว่า ควรจะปฏิบัติตนอย่างใด
สิ่งที่เขาเคารพบูชาของเขา เราอย่าไปลบหลู่ดูหมิ่นนะ มันก็เรื่องของเขา จิตใจของคนยังต่ำยังต้อยอยู่ จิตใจของคนยังไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เขาจะพึ่งอาศัยของเขาบ้างก็เรื่องของเขา แต่ถ้าจิตใจของเขาสูงขึ้นมา เขาจะแจกให้เพื่อนๆ เขาไปเอง เขาจะให้ลูกให้หลานเขาไปเอง เขาจะปล่อยวางเองหมด ถ้าจิตใจของเขาสูงส่งขึ้นมา
มันเป็นสิ่งที่เขาเคารพของเขา เขาบูชาของเขา เขาเรียกว่าเจดีย์ในใจ อย่าไปทำร้ายเขา อย่าไปเที่ยวติเตียนเขา แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ถ้าเขาพัฒนาของเขาขึ้นมา เขาจะวางเอง
สิ่งนั้นเป็นวัตถุธาตุ มันจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นของชำร่วยที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวใจ นั่นก็เป็นความเคารพบูชา เป็นเรื่องของส่วนบุคคล
เราควรจะปฏิบัติตนอย่างใด
เราควรจะปฏิบัติตนว่า เราต้องมีสติ เราต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาของเรา สิ่งนั้นเขาเคารพบูชาของเขา แล้วเราไปเหยียบย่ำหัวใจของเขา มันสมควรหรือไม่ ของเขา เขาเชิดชูบูชา แล้วเราก็ไปเหยียบไปย่ำว่าของเอ็งไม่มีค่าๆ เราจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแล้วทะเลาะเบาะแว้งกันใช่ไหม
เราก็เห็นของเขา สังคมเป็นอย่างนั้น เราบวชใหม่ๆ มีคนมาเสนอเยอะแยะเลย ทำสัญญา ให้เซ็นสัญญากับเขา พอเซ็นสัญญากับเขาแล้ว แล้วหลวงพ่อนั่งเฉยๆ นะ เวลามาก็เออออห่อหมกอย่างเดียว เขาจะไปทำให้มันเป็นอภินิหาร เขาจะไปเขียนที่มาเป็นประวัติให้เลยนะ เยอะแยะ
มันเป็นธุรกิจธุรกิจหนึ่งที่เขาไปติดต่อกับทางวัด ให้ทางวัด วัดไหนก็ได้ ให้เป็นสัญลักษณ์ แล้วเขาก็เอาสิ่งนั้นไปอย่างที่ว่าน่ะ เขามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนเขาเคยเห็นมา รถคว่ำปั๊บ รุ่นอะไร ยิงไม่เข้า รุ่นอะไร รุ่นนั้นน่ะ แล้วกรณีอย่างนี้สตันต์แมนในหนังเยอะแยะ มาทำให้ดูก็ได้ ทำเสร็จแล้ว นี่รุ่นอะไร ฮือฮาขึ้นมาเลยนะ
จตุคามตอนนั้นที่เขามีชื่อเสียงมาก เราพูดตั้งนานแล้ว ต่อไปนะ ในบ้านทุกคนจะมีคนละ ๕ กระสอบ แล้วต่อไปเวลามุงหลังคาก็เอาจตุคามไปมุงหลังคาแทนกระเบื้อง มันเป็นการตลาด มันก็เลยกลายเป็นเชื่อ
นี่เขาบอก ควรจะปฏิบัติตัวอย่างใด
เราจะบอกว่า ควรจะมีสติปัญญา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกเป็นที่พึ่งที่อาศัย สิ่งนั้นเราไม่อาศัยสิ่งอื่นนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนที่ประพฤติปฏิบัติจนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะไม่ถือนอกจากพระธรรมสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเด็ดขาด
สิ่งที่ยังไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเขาก็ต้องหาที่พึ่งที่อาศัยภายนอก ที่พึ่งที่อาศัยภายนอกเพราะอะไร เพราะหัวใจเขาพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ถ้าเราพยายามประพฤติปฏิบัติจนหัวใจเรามีที่พึ่งที่อาศัยแล้ว สมบัติข้างนอกเราไว้แจกเด็ก
เรามีสมเด็จโต เราแจกลูกศิษย์ ลูกศิษย์มันรีบๆ รับเลย แล้วมันจะไปแผงพระ มันจะไปปล่อยได้ ๔๐ ล้านน่ะ เรามีเราจะแจกหมดเลย แล้วพวกนั้นมันก็จะไปที่แผงพระๆ กัน
เราจะบอกว่า สิ่งที่คนที่เขาเคารพบูชาของเขานะ มันก็เป็นที่เคารพบูชาของเขา เราเป็นเพื่อนกันแล้วจะไปเหยียดไปหยามว่าสิ่งนั้นไร้ค่าๆ แล้วเพื่อนฝูงจะอยู่กันอย่างไร ถ้าเขาเคารพบูชาของเขาในเวลานี้ก็เรื่องของเขา ถ้าถึงเวลาแล้วถ้าเขาหูตาสว่างขึ้นมาแล้ว เขาก็จะให้คนอื่นต่อไป
เราไม่เอ่ยชื่อนะ เขามีสมเด็จกริ่งปวเรศ วัดราชบพิธ องค์ ๓๐ ล้าน เขาเอาไปให้คนอื่นหมด มีเยอะแยะไป ที่จังหวัดอุดรธานีมันมีเศรษฐีเก่า ที่บ้านเขานะ มีเครื่องลายครามมรดกโลกสมัยบ้านเชียง เขามีศิลปะบ้านเชียงของเขา อู้ฮู! เต็มไปเลยนะ เวลาเขาตาย เขาทำไว้เป็นพินัยกรรมยกให้ลูก ลูกมันอยู่อเมริกา มันกลับมามันแจกหมดเลย
บ้านเชียง ของเก่าแก่ ของที่มีคุณค่า พ่อสะสมมาเกือบเป็นเกือบตาย พ่อแสวงหามา มันมาถึงนะ กระเบื้องเก่าๆ ไม่รู้จัก แล้วเขาไม่ต้องการ
มีคนมากมายที่ไปอยู่อเมริกาแล้วไม่อยากกลับมาเมืองไทย มรดกของเขาพ่อแม่เป็นทุกข์เป็นยากมาก ไม่รู้จะเอาไว้จะให้ใคร ไอ้นี่นะ พ่อแม่สะสมบ้านเชียงไว้ บ้านเชียงนี้มันมีคุณค่านะ มันเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์นู่นน่ะ ไอ้ลูกกลับมา กระเบื้อง
แล้วไม่ใช่กระเบื้องธรรมดานะ มันยุคที่มันยังไม่มีลวดลายไง มันไม่วิจิตรพิสดารไง มันเหมือนพวกเด็กไร้เดียงสาเขียนวงๆๆ แต่อายุมันเป็นพันๆ ปี มีค่ามาก แต่ลูกบอกว่ายกให้คนอื่นหมดเลย จะกลับอเมริกา แล้วเขาก็ยกให้ ยกให้พิพิธภัณฑ์ไปแล้วเขาก็กลับเลย
เห็นไหม ถ้าเขาเคารพบูชาของเขา มันมีคุณค่าในชีวิตของเขา แต่คนที่เขาไม่รู้จัก ผู้ที่รับมรดกตกทอดมันไม่รู้จักคุณค่าหรอก ไม่รู้จักคุณค่านะ เขายกให้คนอื่นไปเลย แต่ถ้าคนถ้ามันยกย่องบูชานะ เราอย่าไปเสียดสี อย่าไปเหยียดหยาม มันเจ็บหัวใจ มันเจ็บปวด
ฉะนั้น เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างใด
ถ้าเขาเคารพบูชาก็ เออๆๆๆ แต่กูไม่เอา ใครเขาจะทำอย่างไรเรื่องของเขา แต่เราไม่เอา เราจะเอาความจริง เราจะเอาหัวใจของเรา เราจะเอาพระในใจ แล้วให้มีพระในใจเถิด ไม่พะรุงพะรัง ไม่ต้องถนอมรักษา ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จะไม่มีใครมาแย่งมาชิงของเราไปได้
พระเครื่อง อยู่ดีๆ นะ ถ้าเขารู้นะ เขามีใบสั่งเลย ให้โจรเข้ามาปล้น มันเอาเลย มันเป็นภัยเป็นอันตรายกับคนคนนั้นด้วย แต่หัวใจของเราไม่มีใครอยากได้ เพราะอะไร เพราะหัวใจของเรามันอยู่ในทรวงอก ไม่มีใครอยากได้หรอก นี่เราเอาอย่างนี้ไง
ควรจะปฏิบัติตนอย่างใด
ของใครของเขา เรื่องของเขา
แล้วบอกว่า มีพระที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของเขา
ถ้าเป็นพระนะ เขาจะเคารพธรรมวินัย ถ้าพระองค์ใดเคารพพระพุทธเจ้า เคารพธรรมและวินัย เคารพศีลเคารพธรรมไง เคารพศีลเคารพธรรม อันนั้นถึงจะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
ถ้าเขาทำเขาไม่เคารพธรรมไม่เคารพวินัย เราเห็นเขา เขามีคนนับหน้าถือตามากมายมหาศาล เขาเป็นคนมีชื่อเสียงมหาศาล
คนโง่มากหรือคนฉลาดมากล่ะ จัดคอนเสิร์ตคนเยอะกว่านั้นอีก ไอ้หลวงตาต๊อกมันได้ตุ๊กตาทองด้วย มากกว่านั้นอีก คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ในโลกนี้คนโง่มากกว่าคนฉลาดอยู่แล้ว
ฉะนั้น สังคมอย่างนั้น กระแสอย่างนั้นมีมากมาย ไม่ใช่ว่า อู้ฮู! ไปเห็นแล้วตื่นเต้นเลย อู๋ย! คนมากๆ
คนมากๆ ก็สนามหลวง สวนจตุจักร ไปสิ เบียดกัน ยิ่งใหญ่ อยากจะมากนะ ไปเมืองจีนไม่มีที่เดินเลย เดินนี่เบียดเสียดเลย
คนพูดกันแค่นี้ “ถ้าท่านไม่ดีทำไมคนเยอะแยะ ถ้าท่านไม่ดีทำไมคนมากมาย”
คนมากมายมันมารับแจกทาน นี่ไง คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก
ควรจะปฏิบัติตัวอย่างใด
กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น อย่าเชื่อ เห็นก็ไม่เชื่อ เขามาอะไร หน้าม้าเยอะแยะ แล้วเวลาคนตามกระแส เขาพูดกันมากมายมหาศาล ลองแจกเหรียญสิ เบียดกันจนตายเลย
บอกว่า นั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายเกลี้ยงเลย ไม่เหลือสักคน แต่ถ้าจะแจกเหรียญนะ มึงเบียดกันตายเลย
เราบอกว่า ก่อนแจกเหรียญนั่งลงก่อน ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ๕ นาที มันหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้าให้มันทำต่อ ไม่เหลือเลย
เราควรจะปฏิบัติตนอย่างใด
เราเห็นสิ่งใดนะ สิ่งนี้มันเป็นสัญลักษณ์ ในวัดเราก็มีพระพุทธรูปไว้กราบระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมัยโบราณไอ้นี่มันเป็นของชำร่วย เป็นของชำร่วยจากพระผู้ใหญ่ เวลาในวัดเขามีงานมีการ พวกแม่ครัว พวกที่ไปช่วยงานวัด เขาทำไว้เป็นของชำร่วย แต่ท่านเป็นพระที่มีคุณธรรม มันก็ถึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเขาเอาไว้ขึ้นมา
มีคนเล่นพระนะ พอเล่นพระไปๆ พอศึกษาถึงชีวประวัติของท่าน ทิ้งพระหมดน่ะ ไปเอาความจริงเยอะแยะ มันมีสิ่งนั้นก็มี
แล้วในสมัยปัจจุบันนี้อย่าว่าแต่พระเลย เดี๋ยวนี้ฆราวาสเขาทำขายกันเกลื่อนเลย ไอ้นั่นก็มีพลังงาน ไอ้นั่นก็มีสุดยอด ไอ้นั่นสุดยอด
คนจนในประเทศไทยเยอะแยะ ถ้าพลังงานมันดีจริงอย่างนั้นนะ คนไทยจะไม่มีคนจนเลยล่ะ จะเป็นคนรวยเสมอหน้ากันหมด มันไม่มีอยู่จริงหรอก กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
สิ่งนั้นมันเป็นสัญลักษณ์ แล้วคนที่เอาสัญลักษณ์นั้นมาเป็นสินค้า มาเป็นผลประโยชน์ของเขา แล้วคนที่ไปเชื่อถือเคารพศรัทธามันก็เป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ เราอย่าไปเหยียดไปหยาม อย่าไปทำลายความรู้สึก เจ็บหัวใจนะ ยิ่งที่เคารพบูชาเจ็บหัวใจนัก
ฉะนั้น ถ้าเขายังเคารพบูชาก็เอาไว้อย่างนั้นก่อน เวลาหลวงตาท่านสอนวิธีการแก้ไขจิตไง ไอ้ที่เมืองจันท์ฯ เขาบอกนิพพาน เขารู้จักนิพพานแล้วแหละ
หลวงตาบอก เออ! รู้จักนิพพานแล้วนะ ไว้อย่างนั้นน่ะ แล้วให้ทำอย่างนี้ๆๆ ต่อไปนะ
พอเขาทำอย่างนั้นต่อไป พอหลวงตาไปบอกว่า “หลวงตาๆ ไอ้ที่หนูพูดไปไม่ใช่แล้วค่ะ”
เห็นไหม สิ่งที่ว่าเขายึดเหนี่ยวของเขา เขาว่าเขานิพพานแล้วแหละ แล้วมารายงานหลวงตา หลวงตาท่านบอกว่า ไอ้นิพพานก็ไว้นั่นนะ แล้วให้ทำอย่างนี้ต่อไปๆ นะ เขาก็ทำต่อเนื่องมา พอเขาทำต่อเนื่องมาเขารู้เลยอันนั้นผิด เขาทิ้งเลย แล้วเขามาหานี่ไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของคนที่มันสูงส่งขึ้นมาเขาวางของเขาเอง ถ้าเขาวางของเขาได้ ถ้าเขาวางของเขาไม่ได้ ไม่ต้องไปโต้แย้ง ไม่ต้องไปเถียงกับเขา ถ้าไปโต้แย้ง ไปเถียงกับเขา เราต่างหากเป็นตัวปัญหา
เราจะวางตัวอย่างไรล่ะ ก็เป็นเพื่อนกันน่ะ อยู่ด้วยกันน่ะ
อ้าว! ของเอ็งรักเอ็งก็เก็บไว้ ของเรา เราไม่เอา เราไม่เอาของเรา แล้วให้มีสติปัญญาของเราขึ้นมา
นี่พูดถึงว่าจะปฏิบัติวางตัวอย่างใด
ในสังคมทุกสังคมมีคนโง่และคนฉลาด แล้วคนโง่มากกว่าคนฉลาดอยู่แล้ว แล้วถ้าเราเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ฉลาดในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าถึงศีลถึงธรรมแล้ว เราวางสิ่งเครื่องเคารพสักการะบูชาไว้
ถ้าเรามีนะ เราก็เสียสละซะ เพื่อเอาเงินนั้นไปทำกุศล เสียสละให้สภากาชาดเลย มีมากขนาดไหนเอาไปแลกเป็นเงินทองมา แล้วให้สภากาชาดไทยเพื่อคนทุกข์คนจนต่อไปข้างหน้า จบ
ถาม : เรื่อง “โลกกับธรรมและการภาวนา”
ตอบ : คำถามนี้ยาวมาก อ่านแล้วครึ่งวันไม่จบ ฉะนั้น ถึงจะตอบเป็นปัญหาไปเลย เขาบอก
๑. เวลาเขามาอยู่วัดแล้ว เขามาวัดมาวาแล้วจะทำตัวอย่างไร จะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เวลาปฏิบัติก็มีคนบอกควรทำอย่างนั้นๆ
ถ้าควรทำอย่างใดก็แล้วแต่ เรามาวัดมาวาขึ้นมา เรามาวัดหัวใจของเราไง ถ้าเรามาวัดหัวใจของเรา หัวใจเราดีขึ้นมาหรือไม่ดีขึ้นมา ถ้ามันดีขึ้นมา เห็นไหม ไปวัดไปวาเหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาไปโรงพยาบาล ไปโรงพยาบาลเขาก็ไปหาหมอเพื่อรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของเขา เรามาวัดมาวาขึ้นมา เราหาธรรมโอสถขึ้นมาเพื่อจรรโลงหัวใจของเรา
เราอยู่กับโลก เรามีความทุกข์ความยากขึ้นมา เรามาวัดมาวาขึ้นมาก็เพื่อธรรมโอสถ เพื่อความบรรเทาความทุกข์ความยากในใจอันนั้น ถ้าความทุกข์ความยากในใจอันนั้นมันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เราก็ไปวัด
เขาบอกว่า เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา มันไปแล้วเดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ไม่ดี
ไอ้ดีไม่ดีมันก็เรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดามันเป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันทำได้ก็คือทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ ทำได้ก็คือทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องสัจจะเป็นเรื่องความจริง
แล้วพอมาวัดก็จะมาชุบตัวๆ ให้เป็นคนดีขึ้นมา
คนดีขึ้นมาจากไหน คนดีมันดีมาจากหัวใจไง พระพุทธศาสนาสอน ธรรมะทุกข้อชี้เข้ามาในใจของสัตว์โลก ถ้าในใจของสัตว์โลก ใจที่มันดีงามขึ้นมาแล้ว ข้างนอกมันดีไปหมดน่ะ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลามันไปอยู่ทางบ้าน เขาว่าเขาอยู่ทางโลกเขาสุดโต่งทางโลก แล้วเวลามาวัดขึ้นมาก็จะมาสุดโต่งในทางวัด
คนเรามันทำให้มันพอดี พอดีแก่หัวใจของตน รักษาหัวใจของตน
ที่มาวัดมาวาเพื่ออะไร นี่ข้อที่ ๑.
๒. เขาบอกว่า อยู่บ้าน อยู่วัด มันจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เวลามาวัดมันก็ทำเต็มที่ เวลาอยู่บ้านก็ทำสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์เลย
ถ้ามันทำไม่ได้ประโยชน์ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้ามันทำหัวใจดีแล้วนะ อยู่ที่ไหนมันก็เป็นคนดีทั้งสิ้น
เวลาจะประพฤติปฏิบัติควรปฏิบัติที่ไหน
ควรปฏิบัติที่เธอพอใจ ถ้าเราอยู่ทางบ้านเราก็มีห้องพระไว้ เรามีที่ปฏิบัติของเราไว้ ถ้ามีที่ปฏิบัติไว้ทำไม
เวลาเราอยู่ทางโลก เวลามันเครียดขึ้นมา เรากลับมาเราก็เข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่ทางนั่งสมาธิภาวนาเพื่อบรรเทาทุกข์ๆ แล้วถ้ามันบรรเทาทุกข์ไม่ได้ เวลาทางโลกเพราะมันมีความจำเป็นไง
เวลาคนเราบอกว่าโลกนี้ไม่ดี คนไม่ดีหมดเลย จะหนีไปบวชไปอยู่ป่า
ไปอยู่ป่าสองวันมันคิดถึงบ้านอีกแล้ว
นี่ไง มันหนีความคิดตัวเองไม่ได้ มันหนีตัวเองไม่พ้นหรอก ถ้ามันหนีตัวเองไม่พ้น เราหาที่นี่ไง อยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมอยู่ที่ไหน มันก็ต้องอยู่ของเราเพื่อความสะดวก เพื่อความดีงามในหัวใจของเรา เพื่อพัฒนาหัวใจของเรา เห็นไหม
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก ทุกคนต้องตายไปทั้งสิ้น แต่เวลาคนยังหนุ่มยังสาวอยู่ โรคภัยไข้เจ็บมันก็ยังไม่มารุมเร้า เวลามันแก่มันเฒ่าขึ้นมา โรคชราคร่ำคร่ามันจะมารุมเร้าอยู่แล้ว มารุมเร้าอยู่แล้ว แล้วเรามีอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัย นี่เป็นข้อเท็จจริงไง อย่าประมาทกับชีวิต นี่ข้อที่ ๒.
๓. เวลามาวัดมาวา เวลาปฏิบัติแล้วมันจะมีพรรคมีพวก เวลาพรรคพวกเขาก็สอนเรื่องการปฏิบัติว่าควรทำดีมากดีน้อยขนาดไหน มีผู้หวังดีคอยมาสั่งมาสอน เวลาเราปฏิบัติไปแล้วมันมีสติปัญญาเท่าทันความคิดของตน เท่าทันความดูแลของตน
ไอ้นั่นมันก็เป็นการภาวนาเป็นครั้งเป็นคราวไง อันนี้พูดถึงการภาวนาเป็นครั้งเป็นคราวนะ ถ้าการภาวนาเป็นครั้งเป็นคราว เราก็ดูแลหัวใจของเรา เรารักษาหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา
นี่พูดถึงว่าข้อ ๑. ข้อ ๒. ข้อ ๓. คำถามนี้มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกของคน อารมณ์ความรู้สึกของคนมันทำได้เต็มที่ เวลามันคิดได้ร้อยแปด ถ้าคิดได้ร้อยแปดมันก็เรื่องของโลกไง มันเรื่องของโลก
ฉะนั้นบอกว่า เวลาเราไปวัดไปวาขึ้นมาแล้วมันควรจะประพฤติจะทำตัวอย่างใด
ทำตัวให้เหมาะสมพอดี ให้เหมาะสมพอดี ให้เหมาะสมพอดีถ้ามีสติ เวลาหลวงตาท่านพูด สติ ฝ่ามือสามารถกั้นกระแสคลื่น กั้นกระแสของพายุลมแรงได้
สติสามารถกั้นคลื่นในทะเลได้เพราะอะไร เพราะถ้ามีสติปัญญา ความคิดที่รุนแรง ความคิดที่โหมกระหน่ำมา สติมันเท่าทันน่ะจบหมดเลย ถ้าสติมันเท่าทันแล้วมันจบแล้ว นั่นน่ะคือจบ ถ้าคือจบแล้ว จบแล้วทำอย่างไรต่อไป เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งมีชีวิตมันอยู่บนกาลเวลา เพราะเวลามันเคลื่อนไป เวลามันเคลื่อนไป เราอายุ ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี วันเวลามันเคลื่อนไป เราเป็นคนเดิมอยู่นี่
นี่เหมือนกัน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาที่มันเคลื่อนไป จิตที่สงบเวลามันเคลื่อนไป แล้วความสงบมันอยู่กับเราไหม นี่ไง ที่ว่ามันสงบหรือไม่สงบไง แล้วสงบแล้วเรามีสติปัญญาของเรา เราก็รักษาตรงนี้ไง
นี่ข้อ ๑. ข้อ ๒. ข้อ ๓. ถามถึงข้อ ๑. ควรทำอย่างไร ข้อ ๒. ควรทำอย่างไร ข้อ ๓. ควรทำอย่างไร
มันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว ในตัวมันเป็นคำตอบไง แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันจะเป็นวัตถุไง วัตถุ ดูสิ เราทำหิ้งพระเสร็จแล้วเราก็เอาหิ้งพระติดไว้บนหิ้ง แล้วก็กราบไหว้อยู่บนหิ้งพระ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติแล้ว สติก็ต้องเป็นสติตลอดไป จะอยู่กับเราตลอดไป มันไม่ใช่ มีสติ มีสมาธิแล้วมันจะมั่นคงแข็งแรงอยู่ตลอดไป ไม่มีหรอก สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ มันต้องมีการกระทำอยู่เสมอ มันต้องรักษาอยู่เสมอ มันถึงจะรักษาหัวใจของเราได้โดยไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป
เราจะอยู่วัด เรามาวัดเราก็ปฏิบัติของเรา ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่มีคุณภาพก็สาธุ ถ้ามันไม่ได้สิ่งใด เราก็มาวัดเพื่อประพฤติปฏิบัติ
เวลาไปอยู่บ้าน เวลาไปอยู่บ้านเราก็มีสติปัญญาควบคุมดูแลใจของเรา ถ้าเราไม่มีสติควบคุมดูแลหัวใจของเรา เราก็ไหลไปกับกระแสโลก พอไหลไปกับกระแสโลกก็เป็นความทุกข์ โอ๋ย! ก็ต้องไปวัดอีกแล้ว พอไปวัดขึ้นมา มาอยู่วัดสักพักหนึ่งก็กลับไปโลกอยู่อย่างนั้น ก็เป็นความจริงของสิ่งมีชีวิตไง มันเป็นความเป็นจริง ข้อเท็จจริง
คนเกิดมามันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พระยังต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ชีวิตมันต้องการอาหาร มันต้องคลุกคลี แต่เราทำความดีของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากน้อยแค่ไหนมันก็ตามนั้นน่ะ ฉะนั้นบอกว่า ข้อ ๑. ๒. ๓. จบ
ถาม : เรื่อง “ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆแบบเร็วๆ”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ผมขอเข้าประเด็นคำถามเลยนะครับ
๑. เดิมทีผมเริ่มหัดภาวนาตั้งแต่เด็กด้วยพุทโธพร้อมจังหวะลมหายใจ มา ๔-๕ ปีหลังนี้ผมปรับการภาวนาพุทโธ ไม่เกี่ยวข้องกับลมหายใจ และเปลี่ยนมาเป็นการภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ รู้สึกว่าสามารถเร่งคำภาวนาให้เร็วขึ้น และมีเหตุให้จดจ่อคำภาวนามากขึ้น จิตใจสงบ (บนความเร็วของคำภาวนา)
ไม่แน่ใจว่าผมดำเนินวิธีถูกต้องหรือไม่ครับ เพราะคิดปรับจากที่ได้ฟังหลวงพ่อเทศน์ว่าให้อยู่กับคำภาวนาตลอด จึงต้องเร่งตามนั้นเพื่อไม่ให้หลุดไปคิดเรื่องอื่น
๒. ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆแบบเร่งๆ แล้วบางทีรู้สึกเหนื่อยกว่าภาวนาพุทโธตามจังหวะลมหายใจในอดีตครับ ผิดปกติหรือไม่
๓. เวลาไปคุยกับเพื่อนนักภาวนาก็กังวลว่าเขาจะบอกว่า ภาวนาอย่างไรเหนื่อย ทำไมไม่สบายล่ะ
กราบนมัสการครับ
ตอบ : ข้อที่ ๑. ก่อน ๑. ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ การภาวนาโดยพื้นฐาน องค์ของสมาธิ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ องค์ของสมาธิ มันมีวิตกขึ้นมา
นั่งเฉยๆ ก็สบายๆ สบายๆ มันไม่มีที่มาที่ไปไง แต่เวลาโดยปกติเราต้องนึกขึ้น เราวิตก วิตกขึ้น พุท วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ วิตก วิจารคือจิตมีการกระทำ จิตถ้ามีการกระทำ จิตมันเคลื่อนไหว นี่อาการของจิตมันเคลื่อนไหว มีการกระทำ
ถ้ามีการกระทำขึ้นมามันก็เริ่มบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะหัวใจของตน แล้วทำได้ดีก็ได้ ทำไม่ได้ดีก็ได้ บางคนทำแล้วมันก็อยู่อย่างนั้น มันไม่เจริญก้าวหน้า ไม่เจริญก้าวหน้าขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันไม่ฉลาด ถ้ามันฉลาด รู้จัก มันก็ต้องมีการพลิกการแพลง การหาวิธีการเพื่อทำให้มันดีขึ้นมา
ไอ้นี่พุทโธๆ ก็พุทโธอย่างนั้นน่ะ ทำอย่างไรมีศรัทธาความเชื่ออย่างไรก็ทำอย่างนั้นไปก่อน พุทโธๆ จนมันไม่ได้เรื่องไง นี่พูดถึงเวลามันไม่ได้เรื่อง
องค์ของสมาธิ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์
ฉะนั้น เวลาคนที่เริ่มจากการภาวนาส่วนใหญ่แล้วจะให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เพราะจะเริ่มต้นอย่างไรไม่เป็น เริ่มอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามฝึกหัดๆ เพราะมันเป็นรูปธรรม
สิ่งที่ว่า คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ ร่างกายนี้ก็รู้ได้ จิตใจเรารู้ไม่ได้ไง แล้วหัดภาวนาจะทำอย่างไร
ภาวนาก็กำหนดลมหายใจไง ลมหายใจเวลาที่มันอุ่นๆ อยู่นี่ ลมหายใจ ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อ๋อ! ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ทำ พอทำขึ้นมาแล้วมันไม่เจริญก้าวหน้าๆ
เริ่มต้น ถ้าไม่มีจุดเริ่มต้นเลย แล้วจะเริ่มต้นที่ไหน การเริ่มต้นขึ้นมาก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แต่เวลาไปแล้วมันจะหน่วงกัน พอหน่วงกันมันเกิดตกภวังค์ มันนั่งไปแล้วมันหายไปเลย นั่งไปแล้วหลับไปเลยต่างๆ
ฉะนั้น มันถึงบริกรรมพุทโธๆๆ นี่พุทธานุสติ พุทโธๆๆ...โธๆๆ เลย
มีคนมาร้องเรียนมาก “มันเป็นโธ่ๆ เลยหลวงพ่อ”
เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไรหรอก ขอให้มีสติอยู่กับมันไป เพราะอะไร เพราะนั่นคือการต่อสู้ การต่อสู้ของเรา ต่อสู้กับความเคยชินน่ะ ต่อสู้กับกิเลสของตนน่ะ มันจะพลิกจะแพลงตลอด
ถ้าพุทโธๆ มันก็ดีงาม ทีนี้มันก็เริ่มดีดดิ้น เราก็เร็วขึ้นๆ เร็วขึ้น ทีนี้พอเร็วขึ้นมา พุทโธๆๆ...โธๆๆ
มีคนเขียนมาเยอะแยะเลย “มันเป็นโธ่ๆ เลยหลวงพ่อ”
จะเป็นอะไรก็ไม่มีปัญหา ขอให้มีสติติดตามความรู้สึกอันนั้นไป ถ้าตามอันนั้นไปนะ เพราะมันจะบิดมันจะเบือน มันจะบิดพลิ้วอย่างไร มันจะหลบอย่างไร ตามมันไป ตามมันไป อาการจนมันจบไง ถ้าอาการมันหยุด อาการมันจบ
แต่นี้มันตามไป ตามไปแล้วมันไม่ใช่ตามไปจนจบไง ตามๆ ไปแล้วตกหน้าผาไง ตามๆ ไปแล้ววูบหายหมดเลยไง ตามๆๆ ไปแล้ มันตามไปแล้วมันจากอาการ มันไม่เข้าถึงตัวจิตไง
กิริยาของมัน พุทโธๆๆ ถ้ามันตามไปๆๆ ตามมันไป ถ้ามันพยายามบิดเบือนแล้วมันบิดเบือนไม่ได้นะ มันจะพุทโธชัดๆ ขึ้นมา เออ! ชักเบาลง นี่เวลาต่อสู้ไป เพราะอะไร เพราะเวลาเราภาวนาเราสู้กับกิเลสของเราทั้งสิ้น
ฉะนั้น เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่เริ่มต้น แล้วเวลาถ้ามันไม่ได้ผล อย่างคำถามนี้บอกว่า “หลวงพ่อบอกให้พุทโธเร็วๆ พุทโธอย่างเดียวก็ได้”
อย่างเดียวก็ได้เพราะเราวางหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันทำงานสองหน้าที่ หน้าที่หนึ่งลมอานาปานสติ อีกหน้าที่หนึ่งกำหนดพุทโธ มันก็เลยรับผิดชอบมาก รับจนรับไม่ไหว วูบหายไปเลย ตกภวังค์หมด ส่วนใหญ่แล้วจะหลับ
แล้วถ้ามันจะหลับแล้วเราก็วาง วางลมหายใจเข้ามา พุทโธๆๆ ไป สู้กับมัน รัวไปเลย แล้วถ้ามันไม่ได้ ทิ้งพุทโธเลย อยู่กับลมหายใจชัดๆ ลมหายใจนี้จดจ่ออยู่กับมันเลย นี่พูดถึงแนวทางการปฏิบัติ
ฉะนั้นบอกว่า เวลาเขาทำ จิตมันสงบบนความเร็วๆ ของคำภาวนา วงเล็บของเขานะ มันได้ผลไง พอได้ผลขึ้นมาเพราะอะไร นี้คืออุบาย
หลวงตาเวลาท่านเหน็บพระ “เวลาภาวนาโง่ยิ่งกว่าหมาตาย”
ถ้าโง่ยิ่งกว่าหมาตาย หมามันตายแล้วมันไม่มีความรู้สึก แต่เราโง่กว่ามันน่ะ แต่ถ้าเราไม่โง่ เราก็จะพลิกแพลงอย่างนี้ เดี๋ยวพลิกแพลงไปทางนั้น พลิกแพลงไปทางนี้เพื่อประโยชน์กับเรา
แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เขาบอกว่า “มันมีความสุข จิตมันสงบบนความเร็วของการภาวนา”
อันนี้ถ้ามันเป็นผลของเรา เราก็รู้ของเราอยู่แล้วว่ามันใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ มันดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น แล้วสิ่งที่ทำมาตั้งแต่ต้น หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่ใช่ทิ้งขว้างไปเลย แล้วก็พุทโธเร็วๆ ไป พอมันเคยชินสิ่งนี้ปั๊บ มันทำแล้วไม่ได้ผล เราก็กลับไปหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กลับดีก็ได้
ไอ้ที่ทำมาจนเคยชิน ไอ้ที่ทำมาๆ จนไม่ได้ผล เราก็ใช้อุบายวิธีการอื่น พออุบายวิธีการอื่นมันจืด มันจืดมันชืดแล้วมันไม่ไปเข้าทางกับกิเลส เราก็กลับไปใช้วิธีเดิมก็ได้ กิเลสมันไม่ทันไง
เราจะบอกว่า สิ่งที่ทำมานั้นที่บอกว่า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เคยทำมา ๕ ปี ๑๐ ปีมันไม่ได้ผล แล้วมันเร็วๆ ขึ้นมันได้ผล
เราบอกว่า ถ้าได้ผลคือว่าจังหวะและโอกาสที่มันทำได้ ทำสิ่งใดมันก็ได้ผล วิธีการมันร้อยแปดไง วิธีการทำสิ่งใดก็ได้ แต่เราต้องการความสงบของใจต่างหาก เราต้องการกำลังของหัวใจต่างหาก แต่ถ้าเราใช้อุบายแบบนี้เป็นผล มันก็เป็นผล
มันวัดกันที่จิตสงบ มันวัดกันที่เป็นสมาธิ มันวัดกันที่จิตมีกำลัง เขาวัดกันที่นั่น
แต่เขาไม่ได้วัดกันที่วิธีการเอ็งสวยกว่า เอ็งนั่งได้ตรงกว่า เอ็งนั่งได้หล่อกว่า เอ็งนั่งได้สวยกว่า ไม่มี จิตสงบกว่าต่างหาก จิตสงบหรือไม่สงบต่างหาก นี่ข้อที่ ๑.
“๒. ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆแบบเร่งๆ แล้วบางทีรู้สึกว่าเหนื่อยกว่าการภาวนาพุทโธตามจังหวะลมหายใจในอดีตครับ ผิดปกติหรือไม่”
ไม่ มันต้องเหนื่อยอยู่แล้ว เวลาทำงานขึ้นมา นี่พูดถึงพุทโธนะ เวลาจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนะ ใช้ปัญญาไปมันเหนื่อยกว่านี้อีก เหนื่อยกว่านี้อีกหลายเท่า
เขาทำงานทางโลกเขายังเหนื่อย แล้วเอ็งไปทำงานเอ็งไม่เหนื่อยมันมีจากไหน มันเหนื่อย แต่เหนื่อยแล้วมันสงบไหม
โธ่! เวลาภาวนานะ เวลาจิตมันเสื่อม คลานยังต้องเอาเลย พระอะไรที่เป็นเลือดเลย กลิ้งไปยังต้องเอาเลย เวลาถ้าจิตใจเป็นธรรมๆ มันสู้นะ มันทำทั้งนั้นน่ะ
ถ้าจิตใจมันไม่สู้นะ “โอ๋ย! ทำแล้วไม่ได้ผล เราไม่มีวาสนา เราไว้ทำวันหลังก็ได้” เลิกหมดน่ะ นี่คือเหยื่อที่กิเลสมันเอามาหลอก แล้วเราไปกินเหยื่อแล้วเราก็เชื่อมัน
แต่ถ้าเราไม่เชื่อมัน เราก็รัวของเรา ทำของเรา แล้วมันรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยก็เหนื่อย ก็ทำงานไง ทำไมมันไม่เหนื่อย เหนื่อยแล้วมันสงบไหมล่ะ
เขาบอก นี่ไง จิตมันสงบบนความเร็วของการภาวนา
เราก็รับรู้ผลอยู่แล้ว นี่ไง มันเป็นอุบายที่ให้เราได้พลิกมาทำอีกแง่มุมหนึ่ง แล้วถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราก็นี่คือเทคนิคของเราไง แล้วพอเทคนิคของเราพอมันชินชาแล้ว เดี๋ยวเทคนิคก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนให้มันเร็วขึ้น เปลี่ยนมาให้จังหวะออกขึ้น
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่ามันเร็วๆ แล้วว่ามันเหนื่อย มันผิดหรือไม่
ไม่ผิด นี่ข้อที่ ๒.
“๓. เวลาไปคุยกับเพื่อนนักภาวนาก็กังวลว่าเขาจะบอกว่า ภาวนาอย่างไรเหนื่อย ทำไมไม่สบายๆ”
มันไปห่วงโลกธรรม ๘ น่ะ เราภาวนาเพื่อจิตสงบ เราภาวนาเพื่อความสุขของเรา เราภาวนาเพื่อไม่ให้จิตใจเราเครียด เราภาวนาให้เป็นเครื่องอยู่ นี่มันเป็นคุณสมบัติของเรา เพื่อนเกี่ยวอะไรด้วยวะ เพื่อนเอ็งภาวนาให้เอ็งหรือ เพื่อนไม่เห็นเกี่ยวอะไรเลย
แล้วมันจะเหนื่อย
เหนื่อยแล้วมันได้ผลหรือไม่ได้ผลล่ะ
แล้วทำไมเอ็งไม่สบายๆ วะ
ไม่สบายๆ ก็นี่ไง ขี้ลอยน้ำไง ไม่ต้องกำหนดอะไรทั้งสิ้น เพราะพุทโธมันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพราะจิตมันมีอยู่แล้ว
แล้วมันมีอยู่แล้ว แล้วมันคืออะไรล่ะ
คือหลอกตัวเองไง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราไม่มีเงินไม่มีทอง เราจะไปซื้ออะไรไม่ได้เลย เราไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย เราจะได้อะไรตอบแทนมา ถ้ามันเหนื่อย อ้าว! เหนื่อยก็ภาวนาไง
แล้วเพื่อนเขาบอกของเขาไม่เหนื่อย
เพราะอย่างนี้นักภาวนาทั้งหมดถึงเป็นเหยื่อ มาอยู่กับกูแล้วนะ ได้โสดาบันเลย ถ้าเอ็งเดินตามหลังกูมาเอ็งจะได้เป็นพระอรหันต์ แต่กูปล้นอยู่ข้างหน้านี่ มึงเดินตามหลังมา คุกรอมึงอยู่ข้างหน้านู่นน่ะ นี่เชื่อเขาไง
พอบอกว่า เพื่อนเอ็งเก่งแค่ไหน เพื่อนเอ็งมีปัญญามากน้อยแค่ไหน ทำไมคำพูดของเพื่อนเอ็งถึงมีคุณค่านัก แล้วสติปัญญาเอ็งด้อยค่า
ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าเขาภาวนาเร็วๆ นะ จิตมันสงบบนการภาวนาเร็วๆ นี่ดีกว่าตั้งเยอะ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง ทำเพื่อความสุขความสงบในใจของเราไง เราไม่ได้ทำเพื่อการยกย่องสรรเสริญการเยินยอของใครไง
เราต้องการการเยินยอใช่ไหม เราก็ทำเอกสารทำโพลแจกเลย กูภาวนาถูกหรือผิด ข้อ ๑. ข้อ ๒. ขีดมาว่าถูกหรือผิด เอ็งภาวนาเพื่อทำโพลแจกทำว่าเอ็งดีเอ็งชั่วหรือ
เราภาวนาเพื่อหัวใจของเราต่างหาก เพื่อนไม่เกี่ยว
เพราะเพื่อน ภาษาเรานะ อย่างที่ว่าคำถามแรกน่ะ ถ้าเขาเป็นที่เคารพบูชาของเขามันก็เรื่องของเขา ครูบาอาจารย์ที่สอนผิด ครูบาอาจารย์ที่ไม่เอาไหน ครูบาอาจารย์ที่เอาศรัทธาไทยมาเป็นเหยื่อนี่เยอะแยะไปหมด เขาไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น เขาไม่เคยสนใจอะไรทั้งสิ้น สบายๆ สบายๆ มาถึงแล้วก็มีการต้อนรับขับสู้ มีแต่เรื่องสังคมตอบรับ แล้วพอภาวนาแล้วให้ขั้นให้ตอน แปะสติ๊กเกอร์เลย รุ่นที่ ๑ รุ่นที่ ๒ ไร้สาระ
หลวงปู่มั่นไม่ทำอย่างนั้น ที่บ้านตาดไม่เคยทำอย่างนั้น ใครภาวนาสุขสงบในใจก็เป็นสมบัติของคนนั้น ใครภาวนาไม่ได้ก็เป็นทุกข์ในใจดวงนั้น ต่างคนต่างแสวงหา ต่างคนต่างกระทำ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นสัจจะเป็นความจริงในใจนั้น ไม่ใช่ให้ใครมายกย่อง นี่มันอยู่ที่เรา อยู่ที่เรา
ภาวนามามากมายแล้ว แล้วถ้ามันไม่ได้เรื่อง แล้วพอมาภาวนาเร็วๆ ขึ้นแล้วจิตมันสงบขึ้นมามันก็แปลกประหลาด อย่างนี้มันผิดหรือไม่ผิด
ไม่ผิด
แล้วเวลาภาวนาไปแล้วเวลาไปคุยกับเพื่อน มันสำคัญที่ตรงไปคุยกับเพื่อนนี่ แล้วของเพื่อนมันไม่เหนื่อย ของเรามันเหนื่อย แล้วเพื่อนมันบอกว่ามึงบ้าหรือเปล่า
แล้วถามเพื่อนมึงสิว่า มันงอมืองอเท้าอยู่น่ะมันมีอะไรของมันขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันบ้างล่ะ ไอ้สบายๆ สบายของมึงมันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นอารมณ์โลก มันเป็นหินทับหญ้ากดไว้น่ะ มันจะเป็นอะไร
พอเป็นความจริง นี่เป็นความจริงของเราไง มันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันหลอกกันไม่ได้ สันทิฏฐิโก กาลามสูตร ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อในความเห็นของเรา เอาที่นี่
เราจะบอกว่า เพื่อนไม่มีสมองหรอก ใครมีปัญญามารู้เรื่องการภาวนา ถ้ามันรู้มันก็ต้องชี้ถูกชี้ผิดมาก่อนหน้านี้แล้ว ไอ้นี่เราปฏิบัติแล้ว พอเราได้ผลขึ้นมา เราไปพูดให้มันฟัง มันยังโต้แย้งเลยว่า ไม่ต้องภาวนาให้เหน็ดเหนื่อย อยู่เฉยๆ มันได้หมด
แล้วเอ็งยังเชื่อมันอยู่หรือ เอ็งยังเชื่อมันอยู่ใช่ไหม แล้วเอ็งยังต้องเอาเพื่อน ภาวนาเพื่อทำโพลหรือ ต้องให้คนยอมรับมึงหรือ...ไร้สาระ ไร้สาระมาก
เราจะบอกว่า คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ถ้าเป็นเพื่อนก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ เดี๋ยวจะหาว่าพระสงบยุให้เพื่อนแตกกัน ไม่ใช่ๆ ถ้าเป็นเพื่อนก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ได้
เพื่อนกันเขาห้ามคุยกันสองเรื่อง การเมืองกับศาสนา ไอ้นี่พูดเรื่องภาวนา เพื่อนมันจะผิดใจกันเรื่องการเมืองกับเรื่องศาสนานะ ฉะนั้น เพื่อนก็ส่วนเพื่อน มันมีความเห็นมุมมองอย่างไรก็รับฟังไว้ แต่ของเราต่างหาก เดี๋ยวว่าจะยุให้เพื่อนทะเลาะกัน
ไม่ต้องไปทะเลาะกับใคร เอาความจริงของเรา เพราะมันยืนยัน หนึ่งว่า จิตสงบบนความเร็วแล้วมันเหนื่อยมาก
เหนื่อยมากนี่มันบอกถึงการกระทำนะ เหนื่อยแล้วพอมันสงบมันร่มเย็นนั่นน่ะเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยของเราไง เกิดจากการลงทุนลงแรง เหมือนกับคนทำธุรกิจ เขามีธุรกิจของเขา เขาถึงมีผลตอบแทนของเขา คนไม่ทำอะไรเลยมีเงินมีทอง ปปง.ตรวจสอบเงินมันซะ
มึงไม่ได้ภาวนาเลย มึงเป็นสมาธิขึ้นมาได้อย่างไร มึงไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วมึงเป็นยอดคนขึ้นมา มันเอามาจากไหน นี่โลกต้องการแค่นี้ ต้องการคนยกย่องสรรเสริญโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงทำอะไรกันเลย
แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนั้น ต้องลงทุนลงแรงของเรา เราทำของเรา แล้วเราลงทุนลงแรงแล้วเขาจะว่าเราโง่ ช่างมันเถอะ ถึงสักวันหนึ่งมันต้องมาพึ่งพาอาศัย เพราะสิ่งที่มันจินตนาการกันไว้ ปราสาททรายโดนคลื่นทีเดียวเกลี้ยง ไอ้ความเห็นของเขาที่มันคุยกันเป็นแชร์ลูกโซ่อยู่นั่นน่ะ เวลาเดี๋ยวพอมันล่มสลายแล้วนะ มันจะมาขออาศัยไอ้ที่ว่าเหนื่อยๆ นี่
ไอ้เหนื่อยๆ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นการลงทุนลงแรงของเรา เราทำขึ้นมาเป็นความจริงของเราขึ้นมา สุดท้ายแล้วเขาจะมาพึ่งพาอาศัยใคร นั่นให้ดูกันตอนนั้น อย่าไปเชื่อตอนนี้
กระแสสังคมรุนแรงมาก แล้วกระแสสังคม ไอ้พวกปลิ้นปล้อนมันหลอกลวงเยอะมาก แล้วไอ้คนที่ไม่มีจุดยืนนะ ทำมาตัวเองจนดีขนาดไหนนะ ก็ต้องกลับไปเป็นเหยื่อเขา ต้องกลับไปยอมจำนนกับเขา ไร้สาระ แต่มันก็เป็นสติปัญญาของมนุษย์ เป็นอำนาจวาสนาที่มีจุดยืนหรือไม่มีจุดยืนนี่แหละ
ถ้ามีอำนาจวาสนา มีจุดยืนของเรานะ โลกธรรม ๘ มันจะพัดกระหน่ำเราขนาดไหน เขาจะติฉินนินทา เขาจะเป่าหูแล้วเป่าหูอีก เขาพูดทุกวัน พูดจนเรรวน พูดจนล้มลุกคลุกคลาน พูดจนยืนขึ้นมาไม่ได้ อยู่ในสังคม สังคมมันใส่ความกันจนเสียคน เราจะเชื่ออย่างนั้นอีกหรือ เราไม่เชื่อประสบการณ์ในใจของตนหรือ ไม่เชื่อพุทโธเร็วๆ หรือ
ก็พุทโธเร็วๆ ที่มึงเขียนมานี่บอก มันสงบบนความเร็ว ไอ้นี่มันของใคร นี่มันของจริง ของจริงที่เกิดจากการกระทำ แล้วมันไม่ได้ทำ แล้วเราทำของเราขึ้นมามันได้จริง แล้วเขายังมายุมาแหย่ให้มันล้มลุกคลุกคลาน เอ็งยังจะเชื่อมันอยู่อีกหรือ
ไม่ได้ยุให้ใครทะเลาะกันนะ ชี้ให้เห็นถึงวุฒิภาวะหัวใจสูงกับต่ำ หัวใจที่สูง หัวใจที่ต่ำ เวลาคุยกันมีการขัดแย้งทั้งนั้น
ฉะนั้น วางไว้ คุยกันเรื่องอื่น ถ้าเพื่อนเจอกันก็ทักกันเรื่องอากาศ เรื่องสภาวะอากาศพอ ไม่ต้องไปคุยกับมันเรื่องภาวนา ไม่ต้องคุยกันเรื่องหัวใจ ไม่ต้อง คนจะผิดใจกันเรื่องการเมืองกับเรื่องศาสนานี้เท่านั้น เอวัง